กฎหมาย พ.ร.บ. รถยนต์ที่ควรรู้ คุ้มครองอะไรบ้าง
เขียนเมื่อวันที่ 15/06/2021
พ.ร.บ. รถยนต์ คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
รถยนต์ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่หลายคนอยากเป็นเจ้าของเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งราคารถยนต์ป้ายแดงในปัจจุบันมีให้เลือกซื้อตั้งแต่ 300,000 กว่าไปจนถึงหลักล้านบาท แต่รู้ไหมว่าการซื้อรถยนต์สักคันไม่ได้มีแค่ค่างวดที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือน ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมาอีก อาทิ
- ค่าน้ำมัน
- ค่าบำรุงรักษา เมื่อใช้งานรถมาระยะหนึ่ง เจ้าของต้องนำรถเข้ารับการเช็กสภาพ โดยเข้าศูนย์ฯ เช็กทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 6-12 เดือน
- ค่าภาษีรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยภาษีรถแต่ละรุ่นมีราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประเภท ขนาด กำลังของเครื่องยนต์ และอายุการใช้งานของตัวรถ
- พ.ร.บ. รถยนต์ คือประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ โดยกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องมี
- ประกันภัยรถยนต์ เป็นตัวช่วยเพิ่มความอุ่นใจและลดภาระทางการเงินจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจทำให้รถของคุณต้องเสียหาย
ถือเป็นค่าใช้จ่ายในจำนวนไม่น้อยที่เจ้าของรถต้องพบเจออยู่บ่อย ๆ และหากไม่หมั่นตรวจเช็คสภาพรถ หรือขับรถโดยประมาท ก็อาจมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตามมาอีกนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อรถควรไตร่ตรองอย่างละเอียดว่าพร้อมแบกรับภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้หรือไม่ รวมถึงคำนวนเงินเดือนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันปัญหาการเงินตามมาทีหลัง อีกทั้งการขับรถเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงการไม่ประมาท ก็มีส่วนช่วยลดค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อยเช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เจ้าของรถต้องเตรียมไว้ โดยค่าใช้จ่ายบางอย่างจ่ายเพียงปีละครั้ง อย่างค่าภาษีรถยนต์ พ.ร.บ. รถยนต์ และประกันภัยรถยนต์ และวันนี้ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ พ.ร.บ. รถยนต์ ว่ามีความสำคัญอย่างไร คุ้มครองเรื่องอะไรบ้าง ตามมาดูกัน
พ.ร.บ. รถยนต์ คืออะไร
ประกันภัย พ.ร.บ. รถยนต์ หรือประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายที่บังคับให้รถยนต์ทุกคันซึ่งจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องทำ พ.ร.บ. รถยนต์ เพื่อดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงให้เงินชดเชยกรณีเสียชีวิต โดยคุ้มครองหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คู่กรณี หรือคนเดินเท้า ที่สำคัญไม่ต้องรอพิสูจน์หลักฐานว่าใครเป็นฝ่ายถูกด้วย
พ.ร.บ. รถยนต์ มีความสำคัญอย่างไร
ความสำคัญของ พ.ร.บ. รถยนต์ คือ ข้อบังคับภาคบังคับที่รถยนต์ทุกคันที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องมีไว้ เพื่อใช้เป็นหลักประกันให้กับคนในรถยนต์ทุกประเภทหรือผู้ใช้ถนน ตามสิทธิคุ้มครองจากเงินกองกลางรถยนต์ทุกคันที่ทำ พ.ร.บ. รถยนต์ กรณีประสบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถ หรืออธิบายเข้าใจง่าย ๆ ว่า พ.ร.บ. รถยนต์ ให้ความคุ้มครองแค่ “คน” เท่านั้น ไม่คุ้มครองความเสียหายอื่นๆ
พ.ร.บ. รถยนต์ มีกี่ประเภท
ประเภทของ พ.ร.บ. รถยนต์ ถูกแบ่งประเภทตามลักษณะของรถ ขนาดรถ และขนาดเครื่องยนต์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ประเภทรถจักรยานยนต์
- รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 75 ซีซี
- รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 75 ซีซี ไม่เกิน 125 ซีซี
- รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 125 ซีซี ไม่เกิน 150 ซีซี
- รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 150 ซีซี
ประเภทรถยนต์โดยสาร
- รถสามล้อเครื่อง ในเขต กทม.
- รถสามล้อเครื่อง นอกเขต กทม.
ประเภทรถสกายแลป
ประเภทรถยนต์
- รถยนต์ที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง)
ประเภทรถยนต์โดยสาร
- รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน ไม่เกิน 15 ที่นั่ง (รถตู้)
- รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน เกิน 15 ที่นั่ง ไม่เกิน 20 ที่นั่ง
- รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน เกิน 20 ที่นั่ง ไม่เกิน 40 ที่นั่ง
- รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน เกิน 40 ที่นั่ง
ประเภทรถยนต์โดยสารหมวด 4 (วิ่งระหว่างอำเภอกับอำเภอในจังหวัด)
- รถยนต์โดยสารขนาดไม่เกิน 15 ที่นั่ง
- รถยนต์โดยสารขนาดเกิน 15 ที่นั่ง ไม่เกิน 20 ที่นั่ง
- รถยนต์โดยสารขนาดเกิน 20 ที่นั่ง ไม่เกิน 40 ที่นั่ง
- รถยนต์โดยสารขนาดเกิน 40 ที่นั่ง
ประเภทรถยนต์บรรทุก
- รถยนต์บรรทุกน้ำหนักไม่เกิน 3 ตัน
- รถยนต์บรรทุกน้ำหนักเกิน 3 ตัน ไม่เกิน 6 ตัน
- รถยนต์บรรทุกน้ำหนักเกิน 6 ตัน ไม่เกิน 12 ตัน
- รถยนต์บรรทุกน้ำหนักเกิน 12 ตัน
ประเภทรถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส หรือกรด
- รถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส หรือกรด ขนาดน้ำหนักรวมไม่เกิน 12 ตัน
- รถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส หรือกรด ขนาดน้ำหนักรวมเกิน 12 ตัน
รถยนต์ประเภทอื่น ๆ
- หัวรถลากจูง
- รถพ่วง
- รถยนต์ป้ายแดง
- รถยนต์ที่ใช้ในการเกษตร
- รถยนต์ประเภทอื่น ๆ
พ.ร.บ. รถยนต์ ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลเท่านั้น ไม่คุ้มครองความเสียหายอื่น
พ.ร.บ. รถยนต์ คุ้มครองเรื่องอะไรบ้าง
เมื่อทราบกันไปแล้วว่า พ.ร.บ. รถยนต์ มีทั้งหมดกี่ประเภท คราวนี้ตามมาดูในส่วนของความคุ้มครองกัน พบว่า ผู้ประสบภัยจากรถไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก ได้รับเงินชดเชยค่าเสียหายเบื้องต้นตาม พ.ร.บ. รถยนต์ โดยไม่ต้องรอผลพิสูจน์ว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดในอุบัติเหตุดังกล่าว โดยมีรายละเอียดความคุ้มครองดังนี้
ค่าเสียหายเบื้องต้น
- กรณีบาดเจ็บ จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล โดยจ่ายตามจริงคนละไม่เกิน 30,000 บาท
- กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร ได้รับเงินชดเชยคนละ 35,000 บาท
- กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาล ได้รับเงินชดเชยรวมกันคนละไม่เกิน 30,000 บาท
ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติม
ภายหลังเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถพิสูจน์หลักฐานได้แล้วว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายนั้นสามารถเบิกค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมได้ ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บ (ตามจริง) ไม่เกิน 80,000 บาท
- กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท
- กรณีสูญเสียนิ้ว (นิ้วขาด 1 ข้อขึ้นไป) ได้รับเงินชดเชยคนละ 200,000 บาท
- กรณีสูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน ได้รับเงินชดเชยคนละ 250,000 บาท
- กรณีสูญเสียอวัยวะ 2 ส่วนขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท
- ทุพพลภาพถาวร (ไม่สามารถประกอบอาชีพได้) รับเงินชดเชยคนละ 300,000 บาท
- กรณีนอนพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท (ไม่เกิน 20 วัน)
พ.ร.บ. รถยนต์ขาดแล้วประสบอุบัติจะเป็นอย่างไร
ใครที่สงสัยว่า ถ้า พ.ร.บ. รถยนต์ขาดหรือหมดอายุ แล้วเกิดอุบัติเหตุรถชนไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณี ยังได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถยนต์ หรือไม่ คำตอบตรงส่วนนี้ สามารถแยกได้เป็นกรณี ๆ ดังนี้
เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี
เป็นกรณีขับรถเฉี่ยวชนกำแพง ชนกระถางต้นไม้ โดนชนแล้วหนี หรือรถตกถนน แม้รถยนต์และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย กรณีนี้ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ. รถยนต์ แต่หากรถมีประกันภัยภาพสมัครใจคุณจะได้รับความคุ้มครองตามข้อตกลงในกรมธรรม์ที่ทำไว้ อาทิ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ หรือประกันภัยรถยนต์ ชั้น 3+ เนื่องจากหลักฐานที่ใช้เคลมประกันมีแค่ใบขับขี่ และประกันภัยรถยนต์ซึ่งยังไม่หมดอายุ ไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.บ. รถยนต์
เกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณี เนื่องจากขับรถเฉี่ยวชนคนอื่น
รถที่ พ.ร.บ. รถยนต์ขาดไม่ได้รับความคุ้มครอง แต่คู่กรณีสามารถเรียกร้องค่าเสียหายเบื้องต้นได้จากกรมการประกันภัยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จากนั้นหน่วยงานจะมาเรียกเก็บเงินส่วนนั้นคืนจากเจ้าของรถ
เกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณี เนื่องจากถูกคนอื่นขับรถชน
หากฝ่ายผิดมี พ.ร.บ. รถยนต์ คุณซึ่งเป็นเจ้าของรถที่ถูกชนยังได้รับความคุ้มครองในฐานะผู้เสียหาย
ไม่ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ต่อภาษีรถยนต์ได้ไหม
ปัจจุบันกฎหมายบังคับว่า รถยนต์คันใดไม่ทำ พ.ร.บ. รถยนต์ จะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้ เนื่องจากต้องใช้ พ.ร.บ. ยื่นประกอบการเสียภาษีรถยนต์ด้วย นอกจากนี้การปล่อยให้ พ.ร.บ. รถยนต์ขาดหรือไม่ต่อ ยังมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และถ้านำรถยนต์ที่ไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ออกมาขับ จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ใช้เอกสารอะไรบ้าง ?
พอมาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเห็นถึงความสำคัญของ พ.ร.บ. รถยนต์แล้วว่า พ.ร.บ. รถยนต์ เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้รถใช้ถนนให้ความคุ้มครองผู้ประสบภัย โดยเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่า พ.ร.บ. ใกล้หมดอายุ สามารถยื่นเอกสารต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ควบคู่ไปพร้อมกับการต่อทะเบียนรถยนต์ได้ โดยใช้เอกสารดังต่อไปนี้
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาทะเบียนรถ หรือเล่มจริง
แม้มี พ.ร.บ. รถยนต์ ให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว แต่ถ้าใครต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมอันเกิดจากการใช้รถยนต์ สามารถเลือกทำประกันภัยรถยนต์ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างความอุ่นใจในยามเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ หรือประกันภัยรถยนต์ ชั้น 3+ สามารถเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์ หรือแผนประกันภัย พ.ร.บ. รถยนต์ของแต่ละบริษัทประกันภัยได้ง่าย ๆ ที่ Hugs Insurance ที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันภัยที่พร้อมดูแลและให้คำแนะนำคุณอย่างจริงใจ หรือโทร 0 2975 5855
อ้างอิงข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย